ครูหมีเอ็นจิเนียริ่ง
เรากำลังทำอะไร?
by admin on ก.ค..18, 2013, under ครูหมีเอ็นจิเนียริ่ง
คนที่เป็นผู้ใหญ่รวมทั้งตัวผมซึ่งเป็นครูและคุณครูอีกหลายๆท่าน เมื่อเห็นเด็กนักเรียนอยู่ในโรงเรียนที่มีตึก อาคารสถานที่ที่ดี มีความพร้อมของอุปกรณ์ นักเรียนแต่งกายด้วยชุดนักเรียนขาวสะอาด เรียบร้อย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สนุกสนานร่าเริง มีมารยาทงาม จิตใจดี มีความตั้งใจในการเรียนที่ดี ผลการเรียนดี …..สิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็จะทำให้นึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กนักเรียน ครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข เพียบพร้อมทั้ง อาหารเครื่องนุ่งห่ม และสิ่งของเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต ซึ่งเมื่อมาอยู่แรกๆ ผมก็เข้าใจแบบนั้นตามสิ่งที่เห็นตรงหน้า เมื่อมีนโยบายของนายกฯ ให้ครูออกเยี่ยมบ้านของนักเรียนในความดูแลของคุณครู ความจริงที่เห็นแทบสลายหายไปในทันที….
เมื่อตอนที่ผมมาบรรจุที่นี้ใหม่ๆ ในการเรียนการสอนเด็กไม่ค่อยเข้าใจ บางคนผสมสียังไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็เข้าใจว่าเพราะที่นี้ไม่เคยมีครูศิลปะมาก่อนเลยอาจจะยังไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านศิลปะก็เป็นได้ แต่เมื่อผมได้ออกเยี่ยมบ้านนักเรียนครั้งแรกในชีวิตความเป็นครูที่โรงเรียนสุขไพบูลย์วิริยะวิทยา…..ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดและวิธีการสอน เทคนิคการสอนของผม แทบจะฉีกตำราทิ้งไปเลย เพราะอะไร? เพราะก่อนมาเป็นครูที่นี้ผมเป็นครูอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี วิทยาลัยซึ่งมีขนาดใหญ่พิเศษ นักเรียนร่วมๆ 6,000 คน ได้พบเจอกันนักเรียนที่มีความเป็นอยู่ปกติ คือมีกินมีใช้ตามที่เห็น มีพ่อแม่ที่เป็นคนชั้นกลาง ข้าราชการ จนไปถึงระดับลูกคนรวย บางคนถึงขั้นฟุ่มเฟือยเลยด้วยซ้ำ การเรียนการสอนนั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็ว นักเรียนเข้าใจง่ายในสิ่งที่สอน มีสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและสังคมแวดล้อมด้วยความเจริญก้าวหน้าและเทคโนโลยีทำให้เด็กมีความรู้ทั้งจากครูสอนและสังคมรอบข้างเป็นคนสอนไปในตัว การยกตัวอย่าง อ้างอิง ค้นคว้าและศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียนเพื่อนำกลับมาใช้ในห้องเรียนเป็นไปด้วยความง่ายดาย การเรียนการสอนไหลลื่น วัสดุ อุปกรณ์เมื่อสั่งอะไรไปก็มีกำลังซื้อหามาใช้เรียนได้ตามปกติ ตามชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่ที่นี่…..สิ่งที่เจอมาทุกอย่างใช้ไม่ได้……
แรกๆ เมื่อเข้าชั้นเรียน เด็กๆ ตื่นเต้นในการเรียนวิชาศิลปะ เพราะอยากวาดภาพระบายสี ผมสั่งให้นักเรียนนำสีไม้ สีโปสเตอร์ ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัดมาเรียน ก็มีมาเรียนตามปกติ มีบางคนไม่ได้เอามาก็ใช้ของเพื่อนได้อย่างมีน้ำใจไมตรี แบ่งปันกันใช้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู หลังจากนั้นเมื่อสีไม้หมด สีโปสเตอร์หมด กระดาษหมด ถึงได้เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เริ่มไม่มีคนเอาสีมาเรียน เริ่มไม่มีคนเอากระดาษมาวาด เริ่มไม่มีดินสอ ปากกา จนกระทั่งแทบจะไม่มีคนเอาอุปกรณ์มาวาดภาพระบายสีอีกเลย แรกๆผมก็โกรธ ทำโทษ ตัดคะแนน และว่ากล่าวในเรื่องของความรับผิดชอบในการเรียนของนักเรียน แต่แล้วมีเด็กคนหนึ่งนั่งโดนผมว่าเรื่องไม่เอาอุปกรณ์มาเรียนเป็นประจำ นั่งก้มหน้าก้มตาฟังผมว่ากล่าวอบรมเมื่อผมถามถึงอุปกรณ์ที่ไม่ได้เอามาก็บอกแต่ว่า “ลืม” “ไม่ได้เอามา” “อยู่ที่บ้าน” “ยังไมได้ซื้อ” ผมก็ยิ่งว่ากล่าวอบรมต่อไปอีกและโดนผมตัดคะแนนไป จนกระทั่ง…..ท้ายชั่วโมงผมถามเพื่อนของเค้าว่า “ทำไมเค้าเป็นแบบนั้น” คำตอบจากเพื่อนเค้าทำให้ผมหน้าชาและเสียใจมาจนทุกวันนี้ “เค้าไม่มีเงินซื้อครับครู”
ผมนี้ไม่มีความเป็นครูเลยจริงๆ เสียใจมาก ทำไมเราถึงไม่สังเกตให้ดีหรือสอบถามให้ชัดเจน ความอายของเด็ก ความกลัวของเด็ก การแก้ปัญหาของเด็กนั้นไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการไม่พูดความจริง ทำไมผมถึงคิดไม่ได้ คิดอยู่อย่างเดียวคือ “เชื่อ” ว่าเด็กคนนั้นไม่เอามาเรียน ลืมไว้บ้าน และขี้เกียจแบกขวดสี กล่องสีมาเรียน เมื่อถึงช่วงออกเยี่ยมบ้านนักเรียนในเทอม 2 ผมไปเยี่ยมบ้านนักเรียนคนนี้ ไปเห็นสภาพบ้านของเค้า ครอบครัวของเค้า ชีวิตความเป็นอยู่ของเค้าที่บ้าน ผมแทบร้องไห้โฮออกมาเลย สะเทือนใจมาก บ้านเป็นเหมือนเพิงตามคันนา มีไม้ไผ่มาผ่าซีกแปะๆเป็นผนังบ้านหลังคามุงด้วยสังกะสีเก่าๆ ใบจากและเศษไม้ต่างๆ พอกันแดดกันฝนได้ เมื่อไปถึงบ้านไม่มีผู้ใหญ่อยู่อยู่สักคน มีเพื่อนน้องประถมตัวเล็กๆ วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน 2 คน สอบถามเด็กก็รู้ว่าพ่อ แม่ไปทำงานยังไม่กลับ ผมเลยนั่งรอ ระหว่างนั่งรอเด็กเอาน้ำใส่ขันมาให้ ผมนั่งคิดอยู่ตั้งนานว่าครั้งสุดท้ายที่ดื่มน้ำจากขันแบบไม่เย็นไม่มีน้ำแข็งนี้เมื่อไร…..คงตั้งแต่สมัยอยู่กับยายที่บ้านนอกสมัยเด็กๆเท่าเค้าเลย มันยิ่งสะเทือนใจจนผมแทบจะร้องไห้ออกมาจริงๆ นี่มันกี่ปีผ่านมาแล้วไม่น่าเชื่อว่ายังคงเป็นแบบเดิมอยู่….พอเอาน้ำให้ผมเสร็จ เด็กนักเรียนก็วิ่งไปเปลี่ยนชุดเอาชุดนักเรียนออกมาแช่น้ำเตรียมซัก….คิดเอาครับว่าเพราะอะไร ผมเข้าใจในทันที แช่เสื้อผ้าเสร็จก็ มาหุงข้าวก่อเตาฟืนจากเศษไม้หุงข้าวหม้อดำปี๋เลย ในตอนนั้นภาพนั้นมันติดตาผมมากแม้ตอนนั้นผมจะพกกล้องไปด้วยแต่ไม่สามารถนำกล้องขึ้นมาถ่ายได้จริงๆ มันบอกไม่ถูกเลยว่าจะถ่ายไปทำไมเพื่ออะไรกับภาพตรงข้างหน้าที่เห็น แม้แต่ภาพบ้านของเด็กผมก็ไม่ได้ถ่ายมาด้วยมันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าจำติดตาเลย….นั่งดูเด็กเค้าหุงข้าว ซักผ้า ดูน้องเค้าวิ่งเล่นบนลานดินแดงๆ ผมนั่งอยู่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านนานเท่าไรจำไม่ได้เลย รู้แต่ว่าแทบไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากของผมเลย ได้แต่นั่งมองให้เวลามันผ่านไปเรื่อยๆ นั่งคิด นั่งพิจารณาตัวเอง ว่าตัวเรากำลังทำอะไร….ความสดใส ความร่าเริง ชุดนักเรียนที่ขาวสะอาด สิ่งที่เราเห็นที่โรงเรียนมันชั่งต่างกันมากมายเลยจริงๆ
หลังจากวันนั้นและอีกหลายๆวันต่อมาเมื่อได้ไปเยี่ยมบ้านครบทุกคน สิ่งที่ผมเห็น ที่ได้เจอ สิ่งที่ได้คุยกับพ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนหลายๆคน ได้เปลี่ยนความคิด วิธีสอน วิธีการใช้ชีวิตและการอยู่เพื่อเป็นครูที่ดีทำประโยชน์ต่อเด็กให้มากที่สุด ทุ่มเทให้มากที่สุด มอบแต่สิ่งที่ดีให้ ต่อสู้ดิ้นรนในการแสวงหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ มาให้เด็กได้ใช้มากที่สุด เน้นกระบวนการคิดมากกว่ากระบวนการสั่งงาน เน้นสิ่งของรอบตัวมากกว่าวัตถุไกลตัว เน้นการใส่ใจในชีวิตของเด็กที่บ้านมากกว่าที่โรงเรียน เน้นการพัฒนาตนเองเพื่อการดำรงชีวิตและสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนเพื่ออนาคตมากกว่าผลการสอบวัดผลโอเน็ตบ้าบอคอแตก เน้นการลงมือปฏิบัติแล้วนำผลงานนั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงมากกว่าการนำผลงานไปโชว์ เน้นความเป็นคน ความเป็นตัวตน อิสระทางความคิดมากกว่าโดนจูงจมูก เน้นการดูมากกว่าการจำ เน้นความสนุกสนานในการเรียนมากกว่าความกลัวในการเรียน เน้นสิ่งที่นักเรียนชอบมากกว่าครูชอบ และสุดท้ายเน้นตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่นี้ บอกตัวเอง สอนตัวเองทุกวัน ว่าเรามาทำอะไร มีประโยชน์อะไร และจะทำอะไรให้มันดีขึ้นได้บ้างไม่ต้องไปสนใจใครที่ไม่ทำ บอกตัวเองว่าตัวเองทำเองเป็นพอ สุขใจเองพอ มีความสุขทุกครั้งที่เห็นเด็กนักเรียนหัวเราะ ร่างเริงในชั้นเรียนของเรา……
ครูหนุ่ม
18 ก.ค. 2556