ยุทธพงษ์ สืบภักดี : ครูหนุ่ม

ทำไมถึงอยากเป็นครู (บทที่ ๑ วัยเด็ก)

by on เม.ย..03, 2013, under ครูหมีขี้บ่น

โครงเรื่องนี้ร่างไว้ตั้งแต่ วันที่ ๘ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ( ๒ ปีที่แล้ว) ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนได้บรรจุใหม่ๆ ว่าจะเขียนลง blog ไว้ แต่พอได้เริ่มทำงานก็ยังค่อนข้างสับสนของบทบาทตัวเองและท้อแท้กับการทำงานในบทบาทนี้ในบางครั้ง แต่ !!! ณ วันนี้ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ ผมพร้อมแล้วที่จะเล่าให้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งคงจะมีราวๆ ๓ บท วัยเด็ก วัยเรียน วัยทำงาน

บทที่ ๑ วัยเด็ก

มีคนถามผมว่า “ทำไมอยากเป็นครู”

“เป็นครูเพราะเงินเดือนดีใช่ไหมล่ะ”

“เป็นครูเพราะตอนนี้เค้ารับเยอะใช่ไหมล่ะ”

“เป็นครูเพราะว่างานสบายใช่ไหมล่ะ”

อีกหลายๆสิ่งหลายอย่างที่ถูกคนรอบข้างถามมา คนที่เป็นเพื่อนสนิทก็จะรู้ว่าตัวผมนั้นตั้งใจในการเป็นครูมานานแล้ว คนที่เป็นญาติพี่น้องก็จะสนับสนุนให้ครอบครัวตัวเองได้ดีอยู่แล้ว แต่คนที่ไม่รู้ก็จะมองว่า ไอ้นี้มันอยากเป็นครูไม่ดูสารรูปตัวเองเลย หรือ มันจะเป็นครูได้ไงวะทำตัวแบบนี้ (จากภายนอกที่เห็นผม) หรือคนที่อยากรู้ว่าการที่จะเป็นคนในบทบาทของครูนั้น ควรจะคิดอย่างไร เริ่มอย่างไง หรือคนที่กำลังสับสนในความต้องการของตัวเองอ่านไปแล้วอาจจะได้ประโยชน์บ้าง (ถ้ามีคนอ่านง่ะนะ เหอๆๆ ผมจะไม่ใช่คำว่า “อาีชีพครู” เพราะว่า คำว่าอาชีพนั้นคือทำงานเพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทน แต่ บทบาทครูนั้น มันเป็น มากกว่านั้น!!!)

มนุษย์เราตั้งแต่เกิดจนแก่ก็จะมีความคิดที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามช่วงอายุและตามประสบการณ์ความรู้ที่ได้รับมา ตัวผม (และกับอีกหลายๆคนผมคิดว่านะ) ตอนเด็กๆ (ประมาณประถม๔เท่าที่จำได้) ก็อยากจะเป็นไอ้มดเอ็กซ์ อยากเป็นโนบิตะ (แต่จะฉลาดกว่าโนบิตะนะ) อยากเป็นหงอคง (ในดราก้อนบอลตอนเด็กเรียกว่าหงอคง พอโตขึ้นมา ชื่อมากมายไปหมด) อยากโน่นนี้นั้นตามตัวอย่างฮีโร่ ตัวการ์ตูนที่เราเห็นมา  พอโตขึ้นมาหน่อยในระดับประถมปลาย (ป.๖) เริ่มที่ต้องคิดเพราะต้องไปหาโรงเรียนใหม่อยู่ ตอนนั้นสิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนของความคิดผมคือ ช่วงปิดเทอมผมจะไปอยู่ที่บ้านป้าที่ กทม. ป้าชอบพาผมและพี่น้องไปเลี้ยงแทนแม่เมื่อเวลาปิดเทอม ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจและพยายามทำความเข้าใจอยู่ว่าทำไมป้า เหตุผลใดป้าถึงชอบเอาพวกผมไปเลี้ยงโดยเฉพาะผมบ่อยๆ เหตุผลของผู้ใหญ่นั้นบางที่ก็ซับซ้อนจนความคิดของเด็กอย่างเราจะเข้าใจได้เพราะว่าประสบการณ์เรายังไม่ถึงเค้า แต่ไม่ว่ามันจะด้วยเหตุผลอะไร มันก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปทันที   ป้านั้นมีลูก ๔ คน โตอยู่ในระดับมหาลัยหมดแล้ว มีอยู่คนหนึ่งชื่อพี่ฉุน (จริงๆพี่เค้าชื่อพี่แก้ว แต่เรียกฉุนกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะอะไรไม่เคยถาม…) พี่เค้าเรียนที่ ม.ศิลปากร คณะมัณฑนศิลป์ ซึ่งต้องบอกว่าสุดยอดในสมัยนั้นเลยที่เดียว (สมัยนี้ก็ยังสุดยอดอยู่แต่สมัยนั้นมันสุดๆของสุดๆจริง)

รูปยังไม่ไ่ด้ขออนุญาตพี่ๆเค้าเลย แต่เพราะพวกพี่ผมถึงมีวันนี้ (พี่แก้วหรือพี่ฉุนคือคนขวาสุดในภาพ)

หลังจากประสบพบเจอพี่เค้า ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเค้าเป็นเดือนๆ นั่งดูพี่เค้าวาดภาพ แต่งตัว ใช้ชีวิต โหมันโครตจะเท่เลย บวกกับตัวผมนั้นมีความสามารถทางด้านศิลปะอยู่มากพอควรวาดรูปเก่งระบายสีเก่ง (เรื่องวาดรูปเก่งนี้จากที่ผมไปเป็นครูอยู่ที่ อ.เสิงสาง ทำให้ผมได้ค้นพบว่าทำไมเด็กถึงจะวาดรูปเก่งไว้จะเล่าในครั้งต่อไป เรื่องของ “เก่งศิลปะต้องมีพรสวรรค์หรือใช้พรแสวง” เพิ่งคิดชื่อสดๆเมื่อกี้ อาจเปลี่ยนใหม้ภายหลังเหอๆๆ) ต่อๆ พี่เค้าให้ผมนั่งดูพี่เค้าวาดรูป ระบายสี สอนผม ให้ผมลอง จนผมโครตจะประทับใจเลย ตอนนั้นผมอยู่บ้านป้าเพลินมากๆ อยู่อย่างมีความสุข และก่อนกลับมา พี่เค้าให้หีบเพลงผมมาหนึ่งอัน เพราะเห็นว่าผมชอบเลยให้ ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือไรเห็นเป่าๆแล้วมีเสียงแปลกดีเลยชอบ หลังจากได้มาและเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียน ได้ไม่กี่วัน ก็โดนขโมยหายไป ซึ่งคนที่เอาไปก็คงคิดแบบผม “มันแปลกดีอยากไ้ด้ –…” เสียใจมากตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ผมยังไม่เคยมีหีบเพลงอีกเลย  ประสบการณ์ปิดเทอมแล้วไปอยู่บ้านป้าครั้งนั้นทำให้ผมเปลี่ยนความคิดและทางเดินของผมใหม่จนมีวันนี้จริงๆ

พอกลับมาที่บ้านลพบุรี ทักษะศิลปะผมโดดเด่นขึ้นจนครูที่สอนศิลปะคงจะตกใจและดีใจที่จะมีเด็กเก่งศิลปะส่งประกวดตามงานต่างๆ ผมกวาดรางวัลในระดับจังหวัดลพบุรีไปได้มากพอดูช่วงนั้น สนุกสนานมากไม่ได้คิดอะไรไปวาดๆ ก็ชนะๆๆๆ  พอจะจบ ป.๖ ผมตั้งใจไว้เลยว่าจะเรียนต่อทางด้านศิลปะและต้องเข้าไปเรียนที่ กทม อยู่บ้านป้าให้ได้ ขอแม่ แม่ก็ไม่อยากให้ไป ขอป้าป้าก็บอกว่าแล้วแต่แม่ แต่ป้าก้ไม่ขัดถ้าจะไป ผมเลยใช้ไม้ตาย…ผมไม่ไปสอบเรียนต่อที่ใดในลพบุรีเลย ไปสมัครแต่ไม่ไ่ปสอบพอถึงเวลาประกาศผลก็กลายเป็นว่าผมไม่ติด แม่ผมก็ตกใจว่าทำไมไม่ติดทั้งๆที่เรียนเก่ง ไปสอบถามที่โรงเรียนเรื่องถึงแดง ว่าผมไมไ่ด้เข้าสอบ เท่านั้นละครับ ยาวครับยาวตัวนี้ลายไปหมดเลย…T^T จนพอแม่หายโมโหก็นั่งคุยกันบอกว่าผมอยากไปอยู่ กทม บ้านป้าจนสุดท้ายแม่ก็ใจอ่อนโทรไปบอกป้าว่าให้ฝากเข้าที่โรงเรียนที่ กทม ให้หน่อย (ตามแผนที่ผมคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว) ป้าผมเป็นครูอยู่ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ที่ต้องฝากเพราะว่าเค้าก็สอบไปหมดแล้วเหมือนกัน สุดท้ายผมก็ได้ไปอยู่ กทม สมใจ เป็น นักเรียนโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ส.ศ.ม. รุ่นที่ ๑๙ ชีวิตในวัยเริ่มวัยรุ่นของผมจึงเริ่มต้นขึ้นที่ กทม. และคลุกคลีอยู่กับ ป้าที่ เป็น “ครู” มาทั้งชีวิต…..

(พักดื่มน้ำชา กาแฟกันก่อนครับ นี้เพิ่งเริ่มเรียกน้ำย่อย ยังจะมีผมคุยสาระกับไร้สาระอีกเยอะครับ ตัวผมก็เบรกสักพัก)

ผมตั้งหน้าตั้งรอวันเปิดเรียนที่วันแรกด้วยความตื่นเต้นบ้านป้าผมนั้นอยู่สะพานใหม่ แต่ต้องไปเรียนที่ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีที่ ดินแดง ซึ่งไกลลลลลลมากๆ ตอนเช้าต้องตื่นตี ๔ ทุกวันเพื่อที่จะเดินทางไปโรงเรียนพร้อมกับป้าและพี่สาว(ลูกของป้าที่แวะไปส่งทุกเช้า)ซึ่งก็ทำให้ไปถึงโรงเรียนราวๆ ตี๕ ถึง ๖ โมงเช้าทุกวัน แต่ถ้าบางวันถ้าพี่สาวไม่ไปหรือมีธุระต้องนั่งรถไปโรงเรียนเอง วันนั้นจะโหดร้ายมากสำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารในตอนเช้าสมัยนั้นใช้เวลาอย่างน้อยๆ ๓ ชั่วโมงในการเดินทางทุกวันทั้งขาไปและกลับ

พอถึงวันแรกของการเปิดเรียนตื่นมานั่งรอตั้งแต่ตี ๔ เพื่อไปโรงเรียน โทรศัพท์บ้านป้าก็ดังขึ้น กริ้งๆๆๆๆๆ ป้ารับโทรศัพท์และทำท่าทางเครียดรีบไปเปิด ทีวีดู ปรากฏว่า เกิดการปฎิวัติของทหาร โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร และประกาศหยุดทำการสถานที่ราชการ โรงเรียน อย่างไม่มีกำหนด…….วันรุ่งขึ้นผมเดินทางกลับบ้านลพบุรีเลย จนสถานการณ์บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ราวๆ ๑๕ วันไม่แน่ใจเท่าไร ก็กลับมา กทม และไปเรียนวันแรกใหม่อีกครั้ง…

ชีวิตในโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ตั้งแต่เข้าไปกลับกลายเป็นว่าผมไม่ได้ใช้ความสามารถทางด้านศิลปะเลย ตอนนั้นหนักไปทางเรื่องเรียนทั้งเรียนต้องให้เก่งจะได้ไม่ทำให้ป้าอายและเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนหนักมาสำหรับความคิดตอนนั้น ซึ่งผมการเรียนก็ออกมาดีเลยทีเดียวโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ผมเก่งมากๆ ทำคะแนนได้สูงสุดในระดับโรงเรียน ชนิดที่ว่า สอบปลายภาคได้คะแนนเต็ม !!! เป็นที่หือฮามากของทั้งครูและเพื่อนๆ ด้วยสภาพและพฤติกรรมของผมนั้นไม่ใช่เด็กแว่นนั่งหน้าชั้น ออกไปทางเกเรซะด้วยซ้ำไป พอเรื่องเรียนไปได้ดี การที่ผมจะขอป้าทำอย่างอื่นบ้างมันก็ง่ายขึ้น ผมโดยทาบทามไปเล่นกีฬาบาสเก็ตบอลด้วยลักษณะที่ตัวใหญ่ และป้าก็สนับสนุนตอนนั้นสนุกมากในการเล่นบาสเก็ตบอลจนแทบจะลืมเรื่องศิลปะไปเลย…

นั้นคือชีวิตในโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีของผม แต่…ในฉากหลังชีวิตผมคลุกคลีอยู่กับ ครูๆ ทั้งหลายในโรงเรียนอย่างมากมาย ครูีที่ผมคลุกคลีมากที่สุดคือครูแนะแนว (ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าครูแนะแนวในสมัยนี้ สมัยปัจจุบันหายไปไหนและทำไมถึงไม่ทำหน้าที่เหมือนอย่างที่ผมเจอมาหรือผมไม่เคยไปเจอเอง หรือผมลืมมองไปก็ไม่เข้าใจ)  ครูแนะแนวที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ป้าผมแนะำนำให้รู้จักและฝากผมไว้ในเรื่องของการหารายได้พิเศษ ผมเริ่มทำงานพิเศษเป็นพนักงานแพ็กของ ยกของเก็บของ ตามห้างตั้งแต่อยู่ ม.๑ เพราะว่าฐานะทางบ้านป้าไม่ได้ดีมากนักและป้าอยากให้ผมรู้จักหาเงินใช้เอง ครูแนะแนวในโรงเรียนนั้นนอกจากหน้าที่ที่ต้องคอยแนะแนวเรื่องการเรียนแล้วยังต้องคอยแนะแนวเรื่องการใช้ชีวิต ผมไปหาครูคนนี้อยู่เป็นประจำในเรื่องของการหารายได้เพราะว่าการอยากได้อะไรนั้นบ้านผมจะไม่ซื้อให้ต้องหาเงินซื้อเองเท่านั้น นอกจากเรื่องหารายได้แล้วครูแนะแนวยังมีกิจกรรมต่างๆ นอกโรงเรียนให้ทำอยู่เสมอ เช่น การไปอยู่ค่ายเยาวชนต่างๆ ผมไปอยู่ค่ายเยาวชนเยอะมากๆในช่วงนั้นจำได้ไม่หมดจริงๆ การไปค่ายนั้นจะคล้ายๆกับ ค่ายลูกเสือ มีการพักแรม ทำกิจกรรม โดยวิทยากรและมีนักเรียนจากหลายๆโรงเรียนมาอยู่ค่ายร่วมกัน สนุกมากและที่สำคัญฟรีตลอดงาน ซึ่งในปัจจุบันแทบไม่เหลือและไม่เจอค่ายเยาวชนแบบนั้นแล้ว (ซึ่งผมกำลังพยายามจะทำกลับขึ้นมาอีกตลอดเวลาตั้งแต่เป็นครูมาเมื่อมีโอกาส) ครูท่านๆ อื่นๆจะคอยช่วยเหลือผมและดูแลผมอย่างสม่ำเสมอแม้กระทั่งเวลาที่ผมทำผิดอะไรก็จะรู้ถึงป้าผมตลอด –!

ตอนอยู่กับป้านั้นความเป็น “ครู” และการใช้ชีวิต “ครู” ของป้านั้นในเวลานั้นผมไม่ค่อยสนใจเท่าไรเพราะว่าตั้งใจไว้แล้วว่าจะเรียนต่อทางด้านศิลปะ ไม่ได้อยากเป็น “ครู” แต่สิ่งที่เห็นสิ่งที่มาเข้าใจตอนโตนั้นคือ ความเป็น “ครู” ของป้าผมนั้น คือ ความเสียสละ ความประหยัด ความถูกต้อง ความพยายาม ความไม่กลัวต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้องและกล้าเผชิญและต่อสู้ต่อกรกับสิ่งเหล่านั้น ป้าผมได้ชื่อว่าเป็นครูที่ดุที่สุดในโรงเรียน ปากร้าย ทั้งกับเพื่อนร่วมงาน นักการภารโรง พ่อค้าแม่ค้าในโรงเรียนและกับนักเรียนในโรงเรียน รวมถึงผมด้วยทั้งที่บ้านและโรงเรียน แต่!!!!

“ป้าผมนั้นแบกกล้วยที่ปลูกที่บ้านจากสะพานใหม่มาขายที่โรงเรียนเพื่อที่จะเอาเงินไปซื้อนมให้ผมดื่มทุกวันและบังคับด้วยว่าต้องดื่มทุกวัน จนผมตัวขนาดนี้ในปัจจุบันคือเรื่องจริง และส่งผมเรียนอีกตั้งหาก”

“ป้าผมถึงว่าจะดุขนาดไหนแต่กับเด็กนักเรียนของป้า เด็กนักเรียนของป้าก็คุยเล่นสุนกสนานกับป้าได้อย่างไม่น่าเชื่อและเด็กนักเรียนของป้าซึ่งเป็นรุ่นพี่ผม ก็มาบอกผมด้วยซ้ำว่าป้าผมใจดีมาก ไม่มีเงินทานข้าวป้าแกยังเอากล้วยเอาขนมมาให้ทานถึงจะไม่สามารถให้เงินได้แต่แค่นี้ก็พอเข้าใจในตัวแกที่ต้องเลี้ยงดูผม”

“ป้าผมไม่เคยประจบเจ้านาย ไม่เคยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในเรื่องขั้น ตำแหน่งต่างๆ ใดๆเลยตลอดชีวิตการทำงานของแก และถ้าใครทำอะไรไม่ถูกต้องแกจะต่อว่าทันทีแบบไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้นไม่ว่าจะเจ้านาย ลูกน้อง พ่อค้าแม่ค้า ภารโรงหรือใครหน้าไหน จนเกษียณอายุราชการก็ไม่เคยทำผิดวินัยอะไรและมีแต่คนนับถือ เกรงใจ”

“ป้าผมส่งตัวเองเรียนเข้ามาอยู่ในกทมจนได้ดีมีบ้านใหญ่โตที่ดินส่งลูกตัวเองเรียนจบมหาลัยรัฐด้วยเงินเดือนครูน้อยๆ เลี้ยงหลานอย่างผมมาอีกตั้งหาก”

สิ่งเหล่านี้ผมเพิ่งมาเข้าใจว่ามันซึมซับเข้ามาอยู่ในตัวผมเอง ตามหลักสังคมศาสตร์ ที่เค้าว่าไว้ว่า

“สิ่งใดที่เราเห็นและอยู่รอบๆตัวเรา เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่ผู้นั้นจะกระทำแบบนั้นในอนาคตย่อมเป็นไปได้มาก เพราะว่ามีตัวอย่างให้ดูถึงแม้ว่าตัวเองจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม”

นี่คือสิ่งที่ผมประสบเจอมาในวัยเด็กและทำให้มีวัยผู้ใหญ่ในวันนี้ถ้าในวัยเด็กตอนนั้นได้พบเห็นอย่างไงเด็กเหล่านั้นก็จะโตขึ้นไปเป็นแบบนั้น…….นั้นคือจุดเริ่มต้นของการมาเป็นครูในปัจจุบัน

จบบทที่ ๑ วันเด็ก

ครูหนุ่ม ๓ เมษายน ๒๕๕๖

Comments are closed.

Looking for something?

Use the form below to search the site:

Still not finding what you're looking for? Drop a comment on a post or contact us so we can take care of it!

Visit our friends!

A few highly recommended friends...